บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 13, 2554

ความเสื่อมสลายของพระพุทธศาสนาในเวียดนาม

         ผมเกิดในยุคสงครามเวียดนามกำลังดุเดือด  เมื่อเริ่มอ่านคล่องเขียนคล่อง  และอ่านได้อย่างมีวิจารณญาณแล้ว  จึงชื่นชอบที่จะศึกษาเรื่องของสงครามเวียดนาม  เป็นชีวิตจิตใจ  จากสื่อหลากหลายชนิดที่พอหาได้ในขณะนั้น  เช่น  จากหนังสือ  ประวัติศาสตร์  สารคดี  นวนิยาย  ที่เคยอ่านยกตัวอย่างเช่น  กองร้อยปิศาจดำ  จงอางศึก  ไซง่อน (เขียนโดยแอนโทนี  เกร์  :  จิรา  สันติฤดี  แปล)  แหกค่ายนรกเดียนเบียนฟู  ฯลฯ  ถ้าเป็นภาพยนตร์จะดูภาพยนตร์ฝรั่งครับ (เพราะสมจริงกว่าภาพยนตร์ไทยเยอะเลย  เช่น  แรมโบ้  ทั้ง  ๓  ภาค, We Were Soldier (ชื่อไทย : เรียกข้าว่าวีรบุรุษ)  Platoon ( ชื่อไทย ก็  พลาทูน)  ฯลฯ    แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่ใช่คนกระหายสงครามเหมือนผู้นำประเทศสารขัณฑ์  ในขณะนี้
          ในช่วงที่จะเกิดสงครามเวียดนามนั้น  ประเทศเวียดนามใต้  โดยประธานาธิบดี  โง  ดินห์  เดียม  ผู้เผด็จการ  ได้ก่อกรรมทำเข็ญกับผู้นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมหันต์  ดังบทความที่จะนำมาเผยแพร่ให้ได้รับทราบ  ต่อไปนี้

          เวียดนาม หากย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 44 ปี หรือ พ.ศ. 2507 มีผู้นับถือศาสนาพุทธอยู่ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต่างกับประเทศไทยในเวลานั้น รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆเช่น ลาว กัมพูชา และพม่า แต่พุทธศาสนาในเวียดนามต้องพบกับการบีบคั้นเป็นอย่างมาก จากรัฐบาลที่เป็นกลุ่มตัวแทนของคาทอลิค และมีใบสั่งจากอเมริกา
          เหตุการณ์เลวร้ายในเวียดนามเกิดขึ้นในสมัยของ ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ผู้โค่นล้มระบอบกษัตริย์บ่าวได๋ และ ตั้งตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนาม โดยการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ร่วมกับกรุงวาติกัน(ศูนย์กลางคริสต์จักรคาทอลิค) จนกลายเป็นรัฐบาลคริสเตียนโรมันคาทอลิค โดยโง ดินห์ เดียม ได้แต่งตั้งญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดที่เป็นคาทอลิคด้วยกันเข้าร่วมรัฐบาล พร้อมกับให้ความสำคัญและให้สิทธิพิเศษแก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ รวมถึงประชาชนที่นับถือศาสนาคริสต์ ส่วนผู้นับถือศาสนาพุทธกลายเป็นบุคคลชั้นสอง
          หลังจาก โง ดินห์ เดียม ได้เป็นประธานาธิบดี ก็ได้ออกกฏหมาย และระเบียบต่างๆที่หักหาญจิตใจชาวพุทธ จนเกิดการต่อต้านจากพระสงฆ์ กลุ่มแม่ชี และชาวพุทธในเวียดนาม แต่เป็นการต่อต้านแบบอหิงสา เช่นการเดินขบวน แจกจ่ายแถลงการณ์ และอดอาหารประท้วง

กฏเหล็กที่ย่ำยีจิตใจชาวพุทธในเวียดนาม และต่อชาวพุทธทั่วโลกมีหลายรูปแบบ
 
ได้แก่ความพยายามที่จะให้ประเทศเวียดนามเปลี่ยนจากศาสนาพุทธมานับถือศาสนา คริสต์ด้วยวิธีการอันเหี้ยมโหด เช่น ส่งกำลังตำรวจเข้าปราบปราบฆ่าพระ แม่ชี และเผาวัด โดยใช้กลุ่มทหารตำรวจที่เป็นคาทอลิคด้วยกัน หรือใช้รถยนต์วิ่งเข้าหาฝูงชนขณะที่รวมตัวประท้วงตามท้องถนน ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีนับร้อยๆคน หรือไม่อนุญาตให้ออกหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนารวมทั้งให้งดออกรายการทางวิทยุ กระจายเสียงในวันสำคัญทางศาสนา ให้ประชาชนนำภาพพระเยซูที่ได้รับมาจากทางการ นำมาตั้งไว้ในบ้าน หากถูกทำลายจะได้รับโทษอย่างร้ายแรง การประกอบศาสนกิจในวัดจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลพร้อมต้องแจ้งด้วยว่าจะใช้ เวลานานแค่ไหน และจำนวนกี่คน
          รวมไปถึงดัดแปลงแก้ไขคำสอนในพุทธศาสนาเพื่อใช้เป็นแบบเรียนโดยเป็นคำสั่งของ โง ดินห์ ถึก (พี่ชาย โง ดินห์ เดียม) ซึ่งคุมกระทรวงศึกษาธิการด้วย
          ละที่น่าขันก็คือ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2506 เป็นเวลาที่ โง ดินห์ ถึก สังฆราช คริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ซึ่งเดินทางไปประชุมสังคายนาวาติกัน 2 ( VATICAN COUNCIL 2) ณ กรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี ได้แถลงต่อที่ประชุมวาติกันว่า "ประเทศเวียตนามเป็นประชากรของพระเจ้า ประชาชนเวียตนามล้วนนับถือในพระเจ้า และซื่อสัตย์ต่อสันตะปาปา" พร้อมกันนั้น โง ดินห์ ถึก ได้โทรเลขด่วน สั่งให้บาทหลวงใต้บังคับบัญชาของตนในเมืองเว้ ให้ประชาชนทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขนขึ้นที่หน้าบ้าน เพื่อจะได้เป็นข่าวทางสื่อมวลชน ยืนยันให้สันตะปาปา เชื่อถือ และมอบตำแหน่งคาร์ดินัล ให้กับโง ดินห์ ถึก

เหตุการณ์มีความตึงเครียดขึ้นตามลำดับทั่วทั้งประเทศเวียดนาม ทางการได้ส่งตำรวจทหารไปตรึงอยู่ตามวัดต่างๆ ที่มีการชุมนุมของชาวพุทธ โดยเฉพาะเมืองเว้ที่มีวัดสำคัญๆอยู่หลายวัด และเป็นที่ประทับของสังฆราชหรือประมุขของสงฆ์ในประเทศเวียดนาม

          พระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก วัยุ 73 ปี จากวัดเทียนมู่ ทนเห็นความทารุณโหดร้ายจากการใช้อำนาจของรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ ได้ จึงได้ประกาศอุทิศชีวิต เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนา โดยนั่งรถออสตินออกจากวัดเทียนมู่ ในคืนวันที่ 10 มิถุนายน 2506 ถึงกรุงไซ่ง่อนในเช้าวันที่ 11 มิถุนายน 2506 เพื่อร่วมประท้วงกับกลุ่มชาวพุทธ ที่กำลังเดินขบวนอยู่ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล
          หลังจากพระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ได้เขียนข้อเรียกร้องถึง 6 ข้อ ให้รัฐบาลหยุดทารุณกรรม ท่านก็ได้เข้าสู่ขบวนพุทธศาสนิกชนประมาณ 1,000 คนด้วยความสงบ เพื่อไปสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และพุทธศาสนิกชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ขับรถพุ่งชนขบวนผู้ประท้วงเสียชีวิตในวัน ที่ 8 พฤษภาคม 2506 ที่ผ่านมา (มีพระและนางชีเสียชีวิต 70 คน ชาวพุทธอื่นๆอีก 30 คน) จากนั้นขบวนชาวพุทธก็เดินต่อไปอย่างสงบ โดยมีรถนำพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังกลางเมืองหลวง (กรุงไซ่ง่อน)
          พระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ก้าวลงจากรถไปนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีชาวพุทธล้อมเป็นวงใหญ่จากนั้นได้มีผู้หยิบถังน้ำมันเบนซิน 5 แกลลอนออกมาจากรถคันนั้น แล้วเอาน้ำมันราดบนร่างกายของพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก จนหมด ต่อจากนั้นก็เอาไฟจุด ไฟลุกโชติช่วงท่วมร่างอยู่นานประมาณ 10 นาที ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นก็หงายหลังอย่างสงบ โดยไม่ได้แสดงอาการทุกขเวทนาทุรนทุรายแต่อย่างใด
          เหตุการณ์ที่กระทบต่อพุทธศาสนาในเวียดนามเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน นับว่ารุนแรงกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา 16 , 6 ตุลา 19 หรือ พฤษภา 35 อย่างเทียบกันไม่ได้
          หลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ก็มีการปฏิวัติเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2506 โดยกลุ่มทหารยังเติร์กที่ทนดูรัฐบาลทำร้ายพระสงฆ์และชาวพุทธต่อไปไม่ได้ และการปฏิวัติครั้งนี้ได้รับไฟเขียวจากอเมริกา ในฐานะที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม มาตั้งแต่แรก

          ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม สังฆราชตริสเตียน โง เดียม คาน และพี่ชาย โง ดินห์ ถึก ถูกทหารยิงเสียชีวิต หลังหนีกบดานไปอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่งในย่านโชลอง ซึ่งเป็นย่านคนจีนในไซ่ง่อน ส่วนผู้ร่วมในคณะรัฐบาล ทหาร ตำรวจ ที่เข่นฆ่า พระ นางชี และประชาชนในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ถูกประหารชีวิตทั้งหมด
           ความผิดที่โ่ค่นบัลลังค์กษัตริย์ นับว่าเป็นบาปอย่างมหันต์ แต่กลับเหิมเกริมถึงขั้นจะเปลี่ยนศาสนาของคนทั้งประเทศ ดูจะเป็นความผิดต่อแผ่นดินอย่างไม่น่าให้อภัย แต่จุดจบของชีวิตก็ดูจะสาสมกับสิ่งที่ตนเองและญาติพี่น้องได้กระทำลงไป สำหรับในเมืองไทยหากใครคิดกระทำการที่หมิ่นสถาบัน คิดล้มล้างระบอบกษัตริย์ก็ขอให้ไปศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศเวียดนามเสียก่อน แล้วจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วชีวิตจะจบลงแบบใด

ขอขอบพระคุณ  บทความและภาพประกอบ  จากเว็บไซต์  โฟโต้ออนทัวร์  www.photoontour.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น